พุยพุย

วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2



บันทึกการเรียนรู้ครั้งที่ 2

วันพฤหัสบดี ที่ 17 เดือนมกราคม 2560


ธรรมชาติการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


เด็กปฐมวัยเป็นช่วงวัยที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการอบรมเลี้ยงดูควรให้ความสนใจและให้ความสำคัญ เพราะเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญที่สุด ต่อการวางรากฐานของชีวิตมนุษย์ เป็นวัยแห่งการก่อเกิดพื้นฐานด้านบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย ความสามารถทางสติปัญญา และความสามารถด้านต่าง ๆ การเข้าใจธรรมชาติและการเรียนรู้
1. ลักษณะของการยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
2. มีความสามารถในขอบเขตจำกัดและแตกต่างกัน
3. ต้องการการเอาใจใส่ดูแลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
4. เป็นวัยที่ชอบอิสระ
5. ชอบแสดงออกและต้องการการยอมรับ
6. ชอบเล่น
7. มีช่วงความสนใจสั้น

เด็ก ๆ มีธรรมชาติต่างกัน
- บางคนเหมือน รถเข็น จำต้องมีคนคอยเข็ญจึงจะเคลื่อน
- บางคนเหมือน เรือแคนู จำต้องมีคนพาย
- บางคนเหมือน ว่าว ถ้าไม่มีคนถือสายป่าย ก็จะลอยจากไป
- บางคนเหมือน ลูกแมว จะพอใจยิ่งขึ้นถ้าได้รับการลูบไล้
- บางคนเหมือน รถลาก จะใช้ประโยชน์ไม่ได้นอกเสียจากจะมีการลาก
- บางคนเหมือน ลูกบอลลูน อัดแน่นด้วยลม และคอยแต่จะลอยขึ้น

การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
ลักษณะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1. การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
เป็นการเรียนรู้ที่เด็กได้พบหรือสัมผัสกับประสบการณ์ จากสภาพแวดล้อมโดยการกระทำ การรับรู้ การพบเห็นด้วยตนเอง
2. การเรียนรู้จากประสบการณ์ทางอ้อม การเรียนรู้จากประสบการณ์
ทางอ้อม เป็นการเรียนรู้จากการบอกเล่าของบุคคลต่าง ๆ คนใกล้ชิด
ญาติผู้ใหญ่ หรือจากหนังสือ การสังเกตจากตัวแบบ การเลียนแบบ
การบอกเล่าให้ฟังจะทำให้เด็กสร้างภาพขึ้นในสมองของตนแทนการเห็นของจริง

ธรรมชาติของการเรียนรู้
การเรียนรู้เป็นกระบวนการซึ่งมีขึ้นตอน ดังนี้
1. มีสิ่งเร้ามาเร้าผู้เรียน
2. ผู้เรียนรับรู้สิ่งเร้า
3. ผู้เรียนแปลความหมายของสิ่งเร้าที่รับรู้
4. ผู้เรียนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าตามที่รับรู้และแปลความหมาย


5. ผู้เรียนสังเกตผลที่เกิดขึ้น

การจำแนกลักษณะการเรียนรู้ของเด็ก
ลักษณะที่ 1 การเรียนรู้โดยสัญชาตญาณ
ลักษณะที่ 2 เป็นการเรียนรู้จากการช่วยเหลือจากพ่อแม่
ลักษณะที่ 3 การเรียนรู้จากโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมอย่างมีระบบ

รูปแบบการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1. การเรียนรู้โดยใช้ความสามารถในการใช้สายตา เป็นการเรียนรู้ที่เด็กสามารถเปรียบเทียบด้วยสายตา ด้วยการมองเห็นความต่างความเหมือน สี ขนาด รูปร่าง และเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการทำงานประสานสัมพันธ์ของสายตาและกล้ามเนื้อมือ
2. การเรียนรู้โดยการได้ยินได้ฟัง จากการได้ยินได้ฟังเสียงจากที่ต่างๆ หรือจากบุคคล เด็กจะสามารถรู้ที่มาของเสียง สามารถแยกความเหมือนความต่างของเสียงได้
3. การเรียนรู้โดยการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ในการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ของกล้ามเนื้อ

กระบวนการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในช่วงชีวิตของแต่ละคนและช่วงปฐมวัยเป็นช่วงที่มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ดีพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็กสามารถพัฒนาได้สูงสุด เป็นโอกาสทองของการเรียนรู้ของมนุษย์ และเป็นช่วงวัยที่สมองกำลังไวต่อสิ่งกระตุ้น (Sensitive)เมื่อเด็กอายุมากขึ้นเด็กจะมีพัฒนาการในการเรียนรู้เพิ่มขึ้นด้วยโดยเด็กปฐมวัยที่มีอายุ 3 - 6 ปีจะมีวิธีเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้นกว่ากลุ่มอายุ   2 - 3 ปี สังเกตได้จากการสัมผัสสิ่งต่างๆแล้ว เด็กใช้การคิด การจินตนาการ การค้นคว้าและลงมือปฏิบัติเพื่อค้นหาสิ่งที่ตนอยากเห็นอยากรู้

ทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1. ทักษะการเรียนรู้ของเด็กอายุ 2-3 ปี
• มีปฏิกิริยาโต้ตอบง่าย ๆ ได้
• ดูหนังสือภาพแล้วเรียกชื่อสิ่งที่ดูหรือเห็นจากภาพได้
• จับคู่สิ่งของได้ โดยรู้ความสัมพันธ์กัน
• เริ่มเรียนรู้ขนาดใหญ่-เล็ก
• จับภาพหน้าตาส่วนต่าง ๆ ของตนได้
• บอกได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
2. ทักษะการเรียนรู้ของเด็กอายุ 3-4 ปี
• สามารถจำสี จับคู่สีเหมือนกันได้มากกว่า 3 สี
 สามารถเข้าใจเปรียบเทียบขนาด ใหญ่ กลาง เล็กได้
 วาดภาพอย่างมีความหมาย และบอกชื่อภาพได้
 ชอบซักถามว่า ทำไม . . . .
 บอกชื่อ-นามสกุลได้ เมื่อได้รับการสอนให้จำ
มีความสนใจช่วงระยะสั้นๆ พยายามเรียนรู้และเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่บอก/สอน 
และอาจหยุดความสนใจได้ง่าย ๆ
3.ทักษะการเรียนรู้ของเด็กอายุ 4-5 ปี
• สามารถพูดตามเป็นคำสัมผัส ท่องคำสัมผัส และสนุกกับคำที่ออกเสียงซ้ำๆ สัมผัสเสียงและจังหวะ
• ชี้บอกชื่อสีได้ตั้งแต่ 4-6 สี
• จับคู่สิ่งของที่ใช้ด้วยกัน หรือสิ่งของประเภทเดียวกันได้
• วาดภาพคนโดยมีส่วนต่าง ๆ ของคน ตั้งแต่ 2-6 ส่วน
• และเปรียบเทียบส่วนต่าง ๆของร่างกายได้
• วาดภาพและบอกชื่อภาพที่วาดได้
• บอกชื่อสถานที่ที่บ้านตนตั้งอยู่ได้
4.ทักษะการเรียนรู้ของเด็กอายุ 5-6 ปี
 สามารถเล่าทวนเรื่องที่ได้ยินให้ฟังได้
 ออกชื่อตัวพยัญชนะ ตัวเลขที่ตนจำได้ อ่านได้
 นับเลข เข้าใจความหมาย สัญลักษณ์ตัวเลขถึง 10
• จัดประเภท แยกสิ่งของที่มีคุณลักษณะแตกต่างกันได้
• รู้จักความหมายของการบอกเวลาได้ชัดเจนถูกต้อง เช่น เมื่อวานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้
 จับอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือได้ถนัด
 มีความสนใจมากขึ้น อดทนเพราะอยากรู้จริง
• มีความเข้าใจในความคิดรวบยอดดี เข้าใจเหตุการณ์ เหตุ และผลของสิ่งที่เกิดขึ้นได้

แนวคิดของการเรียนรู้
การเรียนรู้
  กระบวนการที่ทำให้คนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด คนสามารถเรียนได้จากการได้ยินการสัมผัส การอ่าน การใช้เทคโนโลยี การเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่จะต่างกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่

1.การเรียนรู้ตามทฤษฎีของ BLOOM (BLOOM'S TAXONOMY)
Bloom ได้แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 6 ระดับ ประกอบด้วย
1.ความจำ (knowledge)
2.การประยุกต์ (Application)
3.ความเข้าใจ (Comprehend) ซึ่งเป็นระดับล่างสุด
4.การสังเคราะห์ (Synthesis)
5.การวิเคราะห์ ( Analysis) สามารถแก้ปัญหา ตรวจสอบได้ สามารถนำส่วนต่าง ๆ มาประกอบเป็นรูปแบบใหม่ได้ ให้แตกต่างจากรูปเดิม
6.การประเมินค่า (Evaluation) สามารถวัดได้ เน้นโครงสร้างใหม่ และตัดสินได้ว่าอะไรถูกหรือผิด

2.การเรียนรู้ตามทฤษฎีของเมเยอร์ (MAYOR)
ในการออกแบบสื่อการเรียนการสอน การวิเคราะห์มีความจำเป็นและเป็นสิ่งสำคัญ และตามด้วยจุดประสงค์ของการเรียน โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วนย่อยๆ ด้วยกัน ประกอบด้วย
1. พฤติกรรมควรชี้ชัดและสังเกตได้
2. เงื่อนไขพฤติกรรมสำเร็จได้ควรมีเงื่อนไขในการช่วยเหลือ
3. มาตรฐาน พฤติกรรมที่ได้นั้นสามารถอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

3.การเรียนรู้ตามทฤษฎีของบรูเนอร์ (BRUNER)

1. ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์
2. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบในการเรียน
3. ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความหมายขึ้นมาจากแง่มุมต่าง ๆ
4. ผู้เรียนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง
5. ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง ซึ่งเนื้อหาควรถูกสร้างในภาพรวม

4.การเรียนรู้ตามทฤษฎีของไทเลอร์ (TYLOR)

1. ความต่อเนื่อง (continuity)
2. การจัดช่วงลำดับ (sequence)
3. บูรณาการ (integration)

5. ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขั้น ของกาเย่ (GAGNE)
1. การจูงใจ (Motivation Phase)
2. การรับรู้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Apprehending Phase)
3. การปรุงแต่งสิ่งที่รับรู้ไว้เป็นความจำ ( Acquisition Phase)
4. ความสามารถในการจำ (Retention Phase)
5. ความสามารถในการระลึกถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว (Recall Phase)
6. การนำไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว (Generalization Phase)
7. การแสดงออกพฤติกรรมที่เรียนรู้ ( Performance Phase)
8. การแสดงผลการเรียนรู้กลับไปยังผู้เรียน (Feedback Phase)

พัฒนาการของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัย เป็นวัยพื้นฐานในการเตรียมความพร้อมที่จะก้าวเข้าสู่การพัฒนาของชีวิต เด็กจะเริ่มพัฒนาลักษณะความเป็นตัวของตัวเอง ให้ความสนใจในสิ่งรอบตัว และชอบตั้งคำถามในเรื่องต่าง ๆ เด็กจะพยายามและต้องการช่วยเหลือตนเอง

ลักษณะของพัฒนาการ
• การพัฒนาจะมีทิศทางของพัฒนาการที่แน่นอน
• พัฒนาการเริ่มจากส่วนบนไปสู่ส่วนล่าง (Cephalo - caudal direction)
• พัฒนาการเริ่มจากแกนกลางของลำตัว ไปสู่อวัยวะส่วนข้างที่ไกลออกไป(Proximo distal direction)
• พัฒนาการจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีแบบแผนและเป็นขั้นตอนไม่มีการข้ามขั้น
• อัตราพัฒนาการของเด็กแต่ละคนจะแตกต่างกัน
• ความก้าวหน้าของพัฒนาการ
• พัฒนาการจะมีความสัมพันธ์กัน
• พัฒนาการส่วนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นของร่างกายมีอัตราในการพัฒนาไม่เท่ากัน
• พัฒนาการของเด็กแต่ละวัยจะมีลักษณะเฉพาะ
• พัฒนาการของมนุษย์มีความแตกต่างกัน

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย
• บุคคลภายในครอบครัว บุคคลภายในครอบครัว ประกอบด้วยพ่อแม่พี่น้อง หรือญาติใกล้ชิดที่มีส่วน
เกี่ยวข้อง
• บุคคลภายนอกครอบครัว บุคคลภายนอกครอบครัว ประกอบด้วยผู้ดูแลเด็ก ครู เพื่อน ๆ ตลอดจน
อิทธิพลของสังคมโดยผ่านสื่อต่างๆ
• อาหาร
• อากาศที่บริสุทธิ์และแสงแดด
• เชื้อชาติ
• เพศ
• ต่อมต่าง ๆ ของร่างกาย
• สติปัญญา
• การบาดเจ็บและโรคภัยไข้เจ็บ
• ตำแหน่งในครอบครัว

การจัดกิจกรรมการเล่นสำหรับเด็กปฐมวัย
ลักษณะพฤติกรรมการเล่นของเด็กปฐมวัย
 พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 0 – 1 ปี เด็กวัยนี้ในช่วงแรเกิด - 3 เดือน
จะยังไม่สนใจกับการเล่นมากนัก แต่เด็กจะเริ่มพัฒนาประสาทสัมผัส
การมองเห็นและได้ยิน การแขวนของเล่นที่สดใสที่แกว่งไกวแล้วมี
เสียงกรุ๋งกริ๋งช่วยให้เด็กกรอกสายตา ฝึกการมองเห็นและการฟังได้
สังเกตความเคลื่อนไหว
 พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 1 - 2 ปี ปีเด็กวัยนี้เริ่มเดินได้เองบ้าง
แม้จะไม่มั่นคงนัก แต่ก็ชอบเกาะเครื่องเรือนเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที
หนึ่งทำให้ได้เรียนรู้ถึงระยะทาง และฝึกการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ
ต่างๆ
 พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 2 - 4 ปี เด็กวัยนี้อยากรู้อยากเห็นทุกสิ่ง
ทุกอย่าง เด็กเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น และทรงตัวได้ดี เพราะกล้าม
เนื้อแขนขาแข็งแรงมากขึ้น ทำให้ชอบเล่นที่ออกแรงมากๆ
พฤติกรรมการเล่นของเด็กวัย 4-6 ปี เด็กวัยนี้มีความพร้อมในด้าน
ต่างๆ มากขึ้น มีการเคลื่อนไหวของร่างกายคล่องแคล่วขึ้นชอบเล่น
กลางแจ้งกับเครื่องเล่นสนาม

การจัดกิจกรรมการเล่นที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย
• กิจกรรมการเล่นของเล่นสำหรับเด็กวัย 0 - 1 ปี เด็กวัยนี้จะเรียนรู้
จากการกระตุ้นประสาทสัมผัสให้เกิดการรับรู้และตอบสนองสิ่งเร้ารอบ
ตัวจากผู้อยู่ใกล้ชิด
• กิจกรรมการเล่นและของเล่นสำหรับเด็ก 1 - 2 ปี เด็กวัยนี้จะเรียรู้
จากการใช้ประสาทสัมผัสในการรับรู้ และมีการกระทำซ้ำ ๆ แบบลอง
ผิดลองถูกกับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย กิจกรรมการเล่นที่ควรจัดให้
การเล่นสำรวจที่ใช้ประสาทสัมผัส และการเคลื่อนไหวอวัยวะต่าง ๆ
• กิจกรรมการเล่นและของเล่นสำหรับเด็กวัย 2 - 4 ปี เด็กวัยนี้จะ
เรียนรู้จากการสังเกต เลียนแบบและซักถามทำความรู้จักกับสิ่งต่างๆ
รอบตัวจากผู้ใหญ่
• กิจกรรมการเล่นและของเล่นสำหรับเด็กวัย 4 - 6 ปี เด็กวัยนี้จะ
เรียนรู้จากการใช้ภาษาสื่อความหมายความเข้าใจกับผู้อื่น และการใช้
เหตุผลในการทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆ

ประโยชน์ของการจัดกิจกรรม
เด็กปฐมวัย เป็นวัยที่ต้องการออกมาสัมผัสกับโลกภายนอกมากขึ้น
เริ่มมีสังคมนอกบ้าน เด็กจะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วย
ความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น และมักมีจินตนาการ ของตนเอง
เด็กจะเรียนรู้ภาษาและคำพูดได้เร็ว ชอบเลียนแบบในขณะเดียวกันก็
ต้องการอิสระ อยากพึ่งตนเอง และต้องการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วย
ตนเอง กิจกรรมของเด็กปฐมวัยจึง มีความสำคัญมาก

สรุป

• การเลือกสื่อสำหรับเด็กปฐมวัยควรเน้นพัฒนาการทั้ง 4


• ส่วนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ควรปล่อยให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง และกระตุ้นให้เด็กได้ใช้ความสามารถ
แสดงออกให้มากที่สุดเท่าที่เขาปรารถนาควรให้ความสนใจในกิจกรรมของเขา




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น